โครงการ Better Farms, Better Lives ช่วยชาวนา สู่ชีวิตวิถีใหม่ด้านการเกษตร ห่วงใยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายเกษตรกรกว่า 100 คน ร่วมกับ
บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ Better Farms, Better
Lives ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หวังยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อยไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 ทั้งด้าน
ต้นทุนผลิต การใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
รวมทั้งการนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ในพื้นที่เพาะปลูก ช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในอนาคต
วิถีชีวิตของชาวนาและภาวะเศรษฐกิจชุมชนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทาง บริษัท
ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมกับมูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย จัดกิจกรรม “การฟื้นฟูธุรกิจ
และเศรษฐกิจข้าวชุมชน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ภายใต้
โครงการ Better Farms, Better Lives ณ
โรงเรียนวัดสามบัณฑิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครอยุธยา
โดยจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ให้กับเกษตรกร เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต
ส่งเสริมการใช้นวัตกรรม เช่น อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ฯลฯ โดยมีเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยเข้าร่วมกว่า 100 คน
นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล ประธานมูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย
เปิดเผยว่า โครงการฯ นี้
มุ่งเน้นให้เกษตรกรปลูกข้าวในผืนนาที่ปลอดภัยต่อทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค
ส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อยให้ได้ถึง 50,000 คน ครอบคลุม 25
จังหวัดหรือราว
150 ชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีทั้งภาครัฐ
ภาคเอกชนและเครือข่ายเกษตรกรต่างๆ
โครงการ Better Farms, Better Lives ณ ชุมชนเกษตรสามบัณฑิต
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการจัดกิจกรรมผ่านสถานีการเรียนรู้ที่สนับสนุนเกษตรกรในการทำนา
อาทิ การปลูกข้าวปลอดภัย นวัตกรรมปลูกข้าว การใช้โดรน การสร้างเงินออม ฯลฯ
โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาให้ความรู้การทำการเกษตรครบวงจร อาทิ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมการข้าว สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น
สำหรับกิจกรรมที่เกษตรกรให้ความสนใจมาก ก็คือสถานีให้ความรู้ โดรนเพื่อการเกษตร ช่วยเรื่องการพ่นยาปราบวัชพืชในนาข้าว
ทำให้เกษตรกรประหยัดต้นทุนและเวลา ที่สำคัญคือปลอดภัย
ลดความเสี่ยงในการใช้คนเดินพ่นยา
นายฆาแวน คำดี ประธานศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุข้าวชุมชน
ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า
การใช้โดรนเพื่อการเกษตรนับเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมหลายพื้นที่และกำลังขยายตัวรวดเร็วเพราะตอบโจทย์ชาวนา
เนื่องจากการใช้โดรนพ่นยาปราบวัชพืชคิดค่าบริการไร่ละ 60-80 บาท และ 1
ชม.
สามารถพ่นได้ถึง 25 ไร่
“ถ้าใช้แรงงานคนอาจเปลืองเวลาทั้งวัน
แถมแรงงานที่จะมาทำแบบนี้ก็หาได้ยากขึ้น เทียบกันแล้วค่าแรงคนกับการใช้โดรนเท่ากัน
แต่โดรนมีความปลอดภัยกว่า ไม่ต้องให้เกษตรกรไปสัมผัสสารเคมีอีกด้วย”
ส่วนการบริหารต้นทุนอื่นๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิตชาวนา โดย นางธนภรณ์
หงส์ทอง ในฐานะประธานกลุ่มนาแปลงใหญ่ อำเภอวังน้อย
และประธานสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. กล่าวว่า
การทำนาให้ประสบผลสำเร็จคือต้องบริหารจัดการแปลงนาของเราให้ดี โดยปัจจุบันมีแปลงนา
12 ไร่ เลือกปลูกพันธุ์ข้าว กข.43 น้ำตาลต่ำมาหลายปีแล้ว
"ข้าวพันธุ์นี้คนไทยนิยมบริโภคเพราะช่วยควบคุมน้ำตาล
และเราก็คุมต้นทุนด้วย เวลาหว่านเมล็ดพันธุ์ใช้ปริมาณไม่มาก 15-20 กิโลกรัมต่อไร่
จากก่อนหน้านี้ต้องใช้ถึง 25 กิโลกรัม แถมข้าวในนาก็ไม่หนาแน่นพอมีช่องหายใจ
ช่วยป้องกันศัตรูของข้าวอีกด้วย และการเป็นข้าวเพื่อสุขภาพ ราคาที่ขาย 5
กิโลกรัม 200 บาท หรือ 50 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นราคาที่ชาวนาอยู่ได้”
นายสินสมุทร คงประโยชน์ ชาวนาต้นแบบอีกท่านหนึ่ง
กล่าวเสริมว่า การใช้ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชอาจ ยังจำเป็นต้องใช้ต่อไป
แต่ก็ควรผสมผสานกับปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ และต้องให้ความร่วมมือไม่เผาในแปลงนา
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ที่สำคัญคือรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ด้านนายสุทธินาท คงสมทอง ประธานศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีตำบลสามบัณฑิต ระบุถึงสาเหตุที่ชาวนาจำนวนมาก ยังไม่เปลี่ยนวิถีการทำนาแบบเดิมๆ เป็นเพราะความ “กลัว” การปรับเปลี่ยนสู่วิถีใหม่แล้วต้นทุนจะสูงขึ้น หรือบางส่วนยังไม่ตระหนักถึงสารตกค้างในนาข้าวเท่าที่ควร ซึ่งโครงการฯ นี้ช่วยแก้ปัญหาได้
ขณะที่ นายประพันธ์ ตรีบุบผา นายอำเภออุทัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มองว่า ปัจจัยที่จะทำให้ชาวนาเข้าถึงการช่วยเหลือจากภาครัฐก็คือการรวมกลุ่มเป็น
“เกษตรแปลงใหญ่” และต้องใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุน ทั้งการปลูก การขาย
และต้องเป็นการทำเกษตรที่ดีต่อคนและสิ่งแวดล้อม
โครงการ Better
Farms, Better Lives จัดขึ้นโดย บริษัท ไบเออร์ไทย
จำกัด ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมการข้าว มูลนิธิคลังสมองสหกรณ์ไทย
สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โปรดิวส์ จำกัด ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด
-19 ด้วยการมอบชุดผลิตภัณฑ์
อุปกรณ์ความปลอดภัยจำนวน 50,000 ชุด พร้อมโครงการการฝึกอบรมความรู้การผลิตข้าวในวิถีใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัย เกิดความยั่งยืน รวมมูลค่า 20 ล้านบาท
ให้กับเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา จังหวัดปทุมธานี สุพรรณบุรี พิษณุโลก และพื้นที่ใกล้เคียง 26 จังหวัด










ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น